ช่างภาพไฟดวงเดียว ก็แค่เป็นอย่างที่ตัวเองเป็น
ในยุคปัจจุบันที่แค่มีสมาร์ทโฟนถืออยู่ในมือกับแอปพลิเคชันเจ๋งๆ ทุกคนในโลกก็สามารถเป็นช่างภาพได้ โซเชียลเนทเวิร์คกลายเป็นที่พึ่งแห่งความหวังในการถูกยอมรับขณะที่เนื้อแท้ในตัวตนจริงๆ กลับค่อยๆ หายไปทีละนิด หลายครั้งการเลือกโพสต์ภาพถ่ายสักภาพใช้การตัดสินใจจากความชอบของคนส่วนใหญ่ ‘โพสต์รูปนี้ คนจะ likeไหมนะ? .. ‘โพสต์รูปนั้น คนจะเบื่อหรือยัง’
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว ตัวเราเองต่างหากที่ต้องเป็นคนชอบไม่ใช่หรือ
ขณะที่ทุกวงการมีการแข่งขันกันสูงในกลยุทธ์ใหม่ๆ ตามรูปแบบไลฟสไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอันหมายรวมไปถึงวงการภาพถ่ายด้วย ฉันพาตัวเองแวะมานั่งคุยกับช่างภาพไฟดวงเดียว พี่โก๋ นพดล ขาวสำอางค์ ที่ไม่ว่าโลกแฟชั่นหรือโลกดิจิตอลจะติดปีกด้วยความเร็วแสงสักเท่าใด พี่โก๋ก็ดูจะไม่เคยเดือดร้อน เพราะผู้ชายแว่นกลมคนนี้มีจุดยืนของตัวเองที่เหนียวแน่นมาก ไม่ต้องแข่งกับใครนอกจากแข่งกับตัวเอง งานถ่ายภาพแฟชั่นของพี่โก๋ในสมัยก่อนมักจะใช้อารมณ์ของการถ่ายแบบ snap ดึงอารมณ์จากการเคลื่อนไหวของแบบที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่งานถ่ายภาพพอร์เทรตคือการใช้ไฟดวงเดียวแข็งๆ เป็นการบันทึกเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น ไม่มีการรีทัช
“ปกติเราก็ทำงานของเราไปนะ เราไม่ได้สนว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่เราก็พยายามยึดว่าเราจะมีแนวทางของเราเอง ไอ้การใช้ไฟดวงเดียวถ่ายนี่ เราก็ถ่ายแบบนี้มายี่สิบปีแล้ว สำหรับเรา การเป็นตัวของตัวเองนี่คือดีที่สุดแล้วละ”
ใช่ ฉันว่าการเป็นตัวของตัวเองนี่ละวิเศษสุดแล้วจริงๆ มันคือภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ทำให้กระแสของยุคสมัยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความต้องการที่แท้จริงของเราได้ หรือแม้แต่เรื่องของการก็อปปี้หรือโคลนนิ่งเองก็กระตุกต่อมความโกรธอะไรเราไม่ได้เช่นกัน เพราะออริจินอลยังไงก็เป็นออริจินอลอยู่ดี เรื่องของสไตล์ก็เหมือนเครื่องหมายการค้าประทับติดตัว ยุคสมัยเปลี่ยน ความต้องการเปลี่ยน เครื่องมือที่เลือกหยิบใช้ก็ต้องเปลี่ยน แต่เรื่องของตัวตนยังคงต้องมีอยู่ ขณะที่โลกปัจจุบันเองดูเหมือนกำลังจะเดินสวนทาง ความสุ่มเสี่ยงในอัตราของ ‘ตัวตนหาย’ คล้ายจะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องอะไรหรอก ทุกวันนี้สังเกตสิ จะโพสต์รูปอะไรกันทีต้องคิดแล้วคิดอีกว่าโพสต์ไปแล้ว คนจะชอบไหม จะกี่ like หรือเซลฟี่มุมไหน ฉันถึงจะดูงามที่สุดในสายตาคนอื่น
“ทุกวันนี้ถ้าเราทำอะไรแล้วรู้สึกมีความสุขกับมัน เราจะไม่ถามหรือสนใจอะไรใครเลยนะว่าคนดูจะชอบหรือไม่ชอบ และเราก็ทำแบบนี้มาหลายปีแล้วด้วยและยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยน เราเป็นตัวของเรา”
จากเด็กสามพรานที่จับพลัดจับผลูมาเป็นช่างภาพกับสไตล์งานที่ชัดเจน ภรรยาของพี่โก๋คือคุณเหมียว เกล้ามาศ ยิบอินซอย (ฉันชอบผู้หญิงคนนี้มากถึงมากที่สุด) โดยในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา พี่โก๋และภรรยาไปๆ กลับๆ ระหว่างกรุงเทพสงขลาเป็นว่าเล่น โดยในช่วงแรกๆ ก็เป็นแค่การเดินทางไปเยี่ยมญาติทางฝั่งคุณเหมียว ไปถ่ายรูปตึกเก่าและไปกินของอร่อย กระทั่งพอไปเจอบ้านเก่าที่นั่นประกาศขายเข้า ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นคนที่ชอบในเรื่องราวของศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์อยู่แล้ว จึงตัดสินใจซื้ออาคารเก่าหลังแรกนั้นไว้ และจากนั้นมา สงขลาก็กลายเป็นบ้านที่สองของพี่โก๋และภรรยาไปโดยปริยาย
“เราชอบความดั้งเดิมของตึกอาคารสงขลาตรงที่หน้าตาตึกมันไม่ซ้ำกันเลยนะ มีทั้งงานอาร์ตเดคโค งานในช่วงยุค 60-70 และบ้านจีนโบราณอายุร้อยกว่าปีปะปนกันอยู่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตึกเก่าสวยๆ เหล่านี้จะอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน”
พี่โก๋ทำให้ฉันนึกถึงความย้อนแย้งในแนวคิดของวิถีไทยหลายๆ อย่าง ที่เห็นชัดๆ เลยคือเรื่องของการหยิบเอารูปแบบในวิถีจากต่างวัฒนธรรมมาใช้ เช่น ไปหัวหินเราเจอโมร็อกโก อูฐ และป้อนนมแกะ ส่วนถ้าไปเขาใหญ่เราจะได้เจอกับโพรวองซ์
“อาจจะเพราะคนไม่เห็นค่าในสิ่งที่ตัวเองมีหรือเปล่า เรามักจะชอบเป็นและชอบมีในสิ่งที่เราไม่ได้มีไม่ได้เป็น อย่างกรุงเทพนี่ อยู่ๆ ไปบางทีเราก็รู้สึกเป็นทุกข์นะ ความสวยงามมันค่อยๆ ถูกทำลายหายไปเรื่อยๆ ยิ่งตัวเราเองชอบความสวยงามเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นทุกข์ สมัยก่อนเราชอบถ่ายตึกเก่ากรุงเทพมาก จนวันหนึ่งพอรู้ว่าตึกไหนจะโดนทุบ เราก็ต้องรีบไปถ่ายเก็บเอาไว้ ทุกวันนี้ตึกเก่าที่ชอบๆ แทบจะไม่เหลือแล้ว”
ณ วันนี้ นพดล ขาวสำอางค์ ยังคงใช้การถ่ายรู
ก็แค่นั้น
เรื่อง / ภาพ : พัทริกา ลิปตพัลลภ